หมวดหมู่: Diary

  • การสร้างธีมสีองค์กรบน SharePoint

    การสร้างธีมสีองค์กรบน SharePoint

    มีโค้ด PowerShell ดังต่อไปนี้

    #ชื่อ Tenant หลักขององค์กร
    
    $TenantName = "dekcom"
    
    #ตรวจสอบโมดูลของ Sharepoint
    Get-Module -Name Microsoft.Online.SharePoint.PowerShell -ListAvailable | Select Name,Version
    
    #หากยังไม่มีโมดูลของ Sharepoint สามารถติดตั้งโดยใช้คำสั่งด้านล่าง
    Install-Module -Name Microsoft.Online.SharePoint.PowerShell
    
    #อัปเดตโมดูลของ Sharepoint สามารถติดตั้งโดยใช้คำสั่งด้านล่าง
    Update-Module -Name Microsoft.Online.SharePoint.PowerShell
    
    #เชื่อมต่อ Sharepoint
    Connect-SPOService -Url https://$TenantName-admin.sharepoint.com
    
    #เรียกดูธีมทั้งหมดที่สร้างขึ้นบน Sharepoint
    Get-SPOTheme
    
    
    #โค้ดสีใหม่ โดยสามารถสร้างได้จากระบบอัตโนมัติที่ลิงก์
    https://e.dmg.st/to2
    
    
    $themepalette = @{
    
    "themePrimary" = "#fd6301";
    
    "themeLighterAlt" = "#fff9f5";
    
    "themeLighter" = "#ffe5d6";
    
    "themeLight" = "#fecfb2";
    
    "themeTertiary" = "#fda065";
    
    "themeSecondary" = "#fd741e";
    
    "themeDarkAlt" = "#e35700";
    
    "themeDark" = "#c04a00";
    
    "themeDarker" = "#8d3600";
    
    "neutralLighterAlt" = "#faf9f8";
    
    "neutralLighter" = "#f3f2f1";
    
    "neutralLight" = "#edebe9";
    
    "neutralQuaternaryAlt" = "#e1dfdd";
    
    "neutralQuaternary" = "#d0d0d0";
    
    "neutralTertiaryAlt" = "#c8c6c4";
    
    "neutralTertiary" = "#a19f9d";
    
    "neutralSecondary" = "#605e5c";
    
    "neutralSecondaryAlt" = "#8a8886";
    
    "neutralPrimaryAlt" = "#3b3a39";
    
    "neutralPrimary" = "#323130";
    
    "neutralDark" = "#201f1e";
    
    "black" = "#000000";
    
    "white" = "#ffffff";
    
    }
    
    
    #คำสั่งเพิ่มธีมใหม่
    Add-SPOTheme -Identity "DorRorSor Brand Theme" -Palette $themepalette -IsInverted $false -Overwrite

    สามารถรับชมการสาธิตเป็นคลิปวิดีโอได้ที่

    https://www.youtube.com/watch?v=-1XQaF3Suzo

    ที่มา: Giuliano De Luca

  • ลอยกระทงปีนี้ ฉันขอ…..

    ลอยกระทงปีนี้ ฉันขอ…..

                เสียงอึกทึกกึกก้องดังทั่วโค้งน้ำ พื้นดินที่แห้งผาก พื้นหญ้าที่ชุ่มชื่น ลำคลองที่เคยเป็นแค่ทางเดินผ่าน กลับกลายเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ดึงดูดผู้คนทั่วทุกสารทิศให้มาใช้ชีวิตร่วมกัน ใช่ วันนี้แหละ วันที่น้ำเต็มตลิ่งอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ วันที่คนไทยเรียกว่า “วันลอยกระทง”

                ดรศ ทอดกายลงข้างสระน้ำจุฬา สายตาเหลือบมองแสงเทียนจากกระทงที่ค่อยๆ เคลื่อนที่ตามแรงลมแสงนั่นสะท้อนสระน้ำ สะท้อนกำแพง สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในงานเทศกาล ทั้งยังขับแสงสีเหลืองทองทำให้บรรยากาศที่มืดมิดกับสุกสกาวสวยงามสมดังเป็นเดือนเพ็ญ เสียงจ้อกแจ้ก​ จอแจจากผู้คน และเสียงเพลงบรรเลงจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของงานทำให้ที่แห่งนี้คลื่นเคล้งมากยิ่งขึ้น

                แต่สิ่งที่ดีต่อใจมากที่สุดของ ดรศ หาใช่บรรยากาศไม่ แต่เป็นการได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ได้พูดคุย ได้แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันต่างหากที่ ดรศ เรียกว่า “ดีต่อใจ” ยิ่งเป็นคนที่คิดใกล้เคียงกันแล้ว มีสนามแห่งประสบการณ์ร่วมกัน (Filed of Experience) แล้ว ยิ่งทำให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ พัฒนาความสนิทสนมแบบก้าวกระโดด

                คุยอันนี้ก็ถูกคอกัน คุยเรื่องนี้ก็เห็นตรงกัน หรือแม้บางเรื่องจะเห็นไม่ตรงกันเลยแต่ก็ถือว่าเราได้รับทัศนะใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เรื่องแบบนี้ถือเป็นการฝึกการเปิดใจ เปิดรับความคิดเห็นจากผู้อื่นได้มากขึ้น

    แป็ปๆ ก็ต้องแยกย้ายแล้วหรอ นี่ละน่าที่เขาชอบพูดกันว่า “เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ” แต่ก็ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะต่อยอดสิ่งที่สวยงามต่อไป

    ดรศ
  • ประสบการณ์เตรียมงาน Barcamp CHA-AM ในเวลา ~12 ชั่วโมง

    ประสบการณ์เตรียมงาน Barcamp CHA-AM ในเวลา ~12 ชั่วโมง

    Barcamp CHA-AM คือวาระซ่อนเร้นที่แฝงตัวอยู่ในกิจกรรมค่าย Thailand ICT Camp 2019 คนเข้าร่วมไม่รู้มาก่อน (เพราะใช้ชื่ออื่น) คนจัดก็เพิ่งไหวตัวทันตอน 12 ชั่วโมงสุดท้าย (เพิ่งมีเวลา) งานไฟไหม้จึงบังเกิดขึ้น

    เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดรศ ได้มีโอกาสร่วมงานกับพี่ๆ มูลนิธิกองทุนไทย ในการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมค่าย Thailand ICT Camp 2019 มีหน้าที่หลักคือคอยช่วยเหลือวิทยากรประจำห้อง อำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมค่าย ฯลฯ

    ประเด็นของค่ายนี้คือ ทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะมาจาก หน่วยงานของรัฐ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือ ผู้สนใจทั่วไปก็ตาม ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ พร้อมทั้งเสริมทักษะทางด้านดิจิทัลเพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อชุมชน หรือแม้กระทั้งองค์กรของตนเอง ผ่านการอบรมจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติจริง (Workshop) ทำผลงานออกมาให้ทุกคนได้ชมกันจริงๆ

    ดรศ ลองนิยาม

    หากไล่เลียงตามกำหนดการแล้ว ช่วง 2 วันแรก จะเน้นเป็นการเข้าอบรม ฟังบรรยาย รวมถึงทำ Workshop ตามตารางที่ทีมงานได้วางเอาไว้ แต่วันที่ 3 ช่วงบ่ายในกำหนดการระบุไว้ว่า “หัวข้อของผู้เข้าร่วม” ซึ่งในส่วนนี้พี่เขาอยากให้งานออกมาอารมณ์ประมาณ Barcamp ที่มีการเสนอหัวข้อ มีการแบ่งห้องสดๆ วางสล๊อตสดๆ กันหน้างาน

    ด้วยความที่เคยร่วมงานกับมูลนิธิกองทุนไทยในการจัดงาน Barcamp Bangkok มาก่อน พี่ๆ จึงอยากให้ ดรศ และเพื่อนผมที่ชื่อกานต์ ลองเป็นแม่งาน Barcamp แบบเต็มตัว อยากทำอะไร วางตารางยังไง โลโก้เป็นแบบไหน เชิญจัดเต็มได้เลย

    12 ชั่วโมงก่อนถึงเวลางาน

    20.00 น. ค่ำคืนนี้เราทำอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากข้อมูลใหม่ที่ได้รับมาคือ จะมีการขยายห้องบรรยายจากเดิมที่มีอยู่เพียง 3 ห้อง ให้กลายเป็น 9 ห้อง ผมกับกานต์ ก็เลยตัดสินใจที่จะดีไซน์ตารางกำหนดการให้กิจกรรมนี้เด่นขึ้น แต่ยังไม่แบ่งเวลาละเอียด เพราะต้องรอยืนยันจากพี่ๆ ก่อน

    Before Barcamp
    จะต้องทำให้ Barcamp CHA-AM เด่นที่สุดในกำหนดการ

    9.00 น. ของวันถัดมา พี่โต้ง MC ประจำค่ายก็โหมกระหน่ำประชาสัมพันธ์อย่างหนัก ทั้งเล่าความหมาย ประสบการณ์ รวมถึงมีการโชว์เสื้อฟรี เพื่อที่จะกระตุ้นให้คนสนใจและร่วมเสนอหัวข้อที่อยากจะพูด ผมกับกานต์จึงเตรียมบอร์ดให้สำหรับเสนอหัวข้อ

    อยากพูดเรื่องอะไรเขียนเลย! / อยากฟังเรื่องอะไรโหวตเลย!

    หลังจากนั้นพวกผมก็กลับมาที่ห้องทำงาน เพื่อที่จะมาออกแบบโลโก้ต่อให้เสร็จ ข้อกำหนดในการใช้ Logo ของ Barcamp คือ จะต้องคง “ดวงไฟ” (flame) ไว้ ส่วนอื่นสามารถออกแบบได้อิสระ

    Flame ใน Logo Barcamp

    พวกผมเห็นตรงกันว่า ดวงไฟ ดูไปดูมา มันก็คล้ายๆ กับคลื่นทะเล จึงตั้งใจจะทำให้ตรงนี้เหมือนคลื่นกำลังซัดเข้าหาฟัง ส่วนคำว่า Barcamp ตัว C น่าจะเอาเก้าอี้ชายหาดมาแทนได้ Logo จะได้ดูมิติและดูมีอะไรมากขึ้น ผลสรุปจึงออกมาเป็นแบบนี้ครับ

    Barcamp CHA-AM

    หลังจากพี่ๆ ไฟเขียว พวกผมก็โปรโมทงานนี้ต่อ ทั้งในโลกออนไลน์ (โพสต์กลุ่ม) และโลกความจริง (ปริ้นติดหน้าห้อง ยึดครองสถานที่จัดงาน)

    Barcamp CHA-AM
    ป้ายหน้าห้อง
    ผู้คนเริ่มมาโหวตหัวข้อที่อยากจะฟังกันแล้ว

    ความยากต่อมา ก็คือการแบ่ง Slot เวลา เพราะมันต้องนำเวลามาหารกับตารางใหญ่ มาหารกับจำนวนห้อง แล้วยังต้องบวกเวลากันชนที่เผื่อไว้ให้คนเดินเปลี่ยนห้องด้วย แต่โชคดีที่ว่าพี่ชัย เทพแห่งการแบ่ง Slot เวลา Barcamp Bangkok ลงมาช่วยแบ่ง สรุปแล้วมีทั้งหมด 3 ห้อง ห้องละ 4 หัวข้อ รวมทั้งหมดได้ 12 หัวข้อ

    จัดหัวข้อใส่ใน Slot
    จัดเรียงเป็นตารางให้อ่านง่ายขึ้น

    ช่วงนี้การทำงานของอาสาสมัครเริ่มง่ายขึ้นแล้ว เพราะหน้าที่ของเราจะเหลือแค่เพียงตรวจสอบความต้องการของผู้พูดในแต่ละห้องว่าต้องการอะไรเพิ่มไหม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้งานได้ปกติหรือเปล่า ซึ่งทุกอย่างก็ออกมาราบรื่น

    การลับสมองของมนุษย์กับ Boardgame
    (วรรณยุกต์) ไตรยางค์ไทย – อีสาน
    Let’s Shoot! เพราะถ่ายภาพไม่ใช่แค่กดชัตเตอร์

    สุดท้ายแล้วขอขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านที่ให้โอกาสเด็กน้อยสองคน (ดรศ และกานต์) ได้ลองควบคุมงานระดับ Barcamp ขอบคุณพี่พูที่คอยดูแลพวกผมอย่างดีตลอดระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ขอบคุณพี่โต้งที่คอยให้คำแนะนำในการดำเนินงาน ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ขอบคุณพี่ชัยที่คอยซัพพอร์ตเรื่องไอทีและการปริ้นทำให้งานดำเนินการได้อย่างไม่สะดุด ขอบคุณพี่เมย์ดี้ พี่เจ พี่โป้ง พี่เบนซ์ ที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงครับ

    ภาพเบื้องหลังจากผู้เข้าร่วมค่าย
    กลับบ้าน ยิ้มได้อย่างสบายใจ

    ภาพ : อนุรักษ์ วงศ์กาฬสินธุ์, Patcharin Srewilai

  • 3 ปีที่พยายามสมัคร มันคุ้มค่าไหม? กับความพยายามนั้น YWC16

    3 ปีที่พยายามสมัคร มันคุ้มค่าไหม? กับความพยายามนั้น YWC16

    จากเด็กมัธยมคนหนึ่งที่ผ่านค่าย JWC#4 มา ก็ได้รู้ว่าด่านต่อไปคือ YWC แต่การสมัครค่ายรุ่นใหญ่ระดับมหา’ลัยนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด กว่า 3 ปีที่พยายามจะสมัคร แต่ก็ทำได้มากที่สุดแค่ “สำรองลำดับที่ 1” พอผ่านเข้าค่ายมาได้ ก็สติเกือบหลุดเพราะโปรเจคโหดเกิน และนี่คือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของ เล็ก สาขา Content ทีม A ในค่าย Young Webmaster Camp รุ่นที่ 16 (YWC#16)

    ควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้

    ย้อนกลับไป 3 ปีก่อน ตอนที่ผมเป็นอาสาสมัครจัดงาน Barcamp Bangkok 2016 ทีมพี่ว่านได้มาเปิดเซคชั่นพิเศษเกี่ยวกับค่าย YWC ซึ่งผมก็มีโอกาสได้ร่วมรับฟังในหัวข้อนี้ด้วย จนกระทั่งได้พบกับพี่มาร์ติน รุ่นพี่ค่าย YWC และยังเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี พี่มาร์ตินตอบทุกคำถามที่ผมสงสัย พร้อมทั้งให้คำแนะนำ รวมไปถึงคอยกระตุ้นให้ผมสมัครค่ายในทุก ๆ ปี

    YWC#14 เป็นครั้งแรกที่ได้สมัคร ก็เลือกสมัครสาขา Content ไป เพราะตอนอยู่ค่าย JWC#4 ก็เลือกเป็นสาขานี้ ผลปรากฏว่าติดรอบสัมภาษณ์ การบ้านปีนั้นจำได้เลยว่าทำได้แย่ที่สุด คิดงานไม่ออก หัวตื้อไปหมด ทั้ง ๆ ที่หัวข้อก็ไม่ได้ยากมาก เพียงแค่ให้ออกแบบ Content ที่ให้เห็นตระหนักถึงอุบัติเหตุบนท้องถนน + ทำ Business Model Canvas

    YWC#15 ปีที่แล้วไม่ติดปีนี้ขอลองอีกสักครั้ง ก็ยังยืนหยัดที่จะเลือกสาขา Content เหมือนเดิม ผลปรากฏว่าติดรอบสัมภาษณ์ (อีกแล้ว) การบ้านในรอบนี้จะให้เลือกระหว่างทำให้คนเข้าใจเรื่องการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyber bullying) กับ ทำให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมเสพติดหน้าจอ เสพติด Social หันมาพูดคุย เจอหน้ากันในชีวิตจริง ๆ ผมเลือกหัวข้อ Cyber Bullying ไปเพราะคิดว่าท้าทายดี และรูปแบบของการนำเสนอผมเลือกทำเป็นวิดีโอสั้น (วิดีโอที่ทำเพื่อส่งการบ้านในครั้งนี้) ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกาศผลรอบสัมภาษณ์มาน่าจะเป็นอะไรที่ลุ้นสุดเพราะติดสำรองอันดับ 1 ท้ายที่สุดตัวจริงก็ไม่สละสิทธิ์เลยอดไปค่ายในปีนี้

    YWC#15 สำรองอันดับ 1
    สำรองอันดับ 1

    มาในปีนี้ ซึ่งค่าย YWC#16 เปิดรับสมัครอยู่พอดี แต่ก็ชะล่าใจยังไม่อยากกรอกใบสมัคร จนปล่อยเวลาล่วงเลยมาถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งชีวิตเด็กปี 4 เป็นอะไรที่วุ่นวายมาก ทั้งต้องเตรียมงานนำเสนออาทิตย์ต่ออาทิตย์ ต้องส่งการบ้านวันต่อวัน แต่ละอย่างเป็นงานใหญ่ที่ต้องมีการเตรียม การซักซ้อม ไม่ใช่เพื่อให้คะแนนออกมาดี แต่เพื่อไม่ให้อาจารย์ด่าว่าทำงานไม่สมกับเป็นปีแก่ จนไม่อยากจะทำอะไรนอกเหนือจากการเรียนและทำการบ้านทั้งสิ้น

    จนกระทั่งได้พี่มาร์ตินมากระตุ้นก่อนวันปิดรับสมัคร 2 วัน พี่เขาบอกว่าให้ลองสมัครดูอีกปี ไหน ๆ ก็พยายามสมัครมา 2 ปีแล้ว ลองพยายามดูอีกครั้งจะเป็นอะไรไป ก็ตัดสินใจล็อกอินเข้าระบบนั่งกรอกข้อมูล แต่ยังไม่ตอบคำถามนะ คัดลอกทุกคำถามมาใส่ใน Google Keep เพื่อที่จะได้นั่งพิมพ์คำตอบได้อย่างสะดวก แต่แล้วก็ตอบคำถามไม่เสร็จภายใน 2 วันนั้น เพราะที่มหาวิทยาลัยกลุ่มของผมจะต้องเปิดร้านขนมไทย ซึ่งมันเสียเวลาไปกับการตกแต่งร้าน การยืนขายของทั้งวัน ก็เลยบอกกับตัวเองว่าถ้าปีนี้ทางค่ายไม่ต่อเวลา ก็คงจะไม่สมัครละ ปล่อยไปเลย

    เนื่องจากระบบผิดพลาด ทางค่ายต่อเวลาให้อีก 2 วัน

    โล่งอก ได้เวลาเพิ่มมาอีก 48 ชั่วโมง ช่วงที่เรียนก็พยายามหาโอกาสมานั่งพิมพ์คำตอบอยู่เรื่อย ๆ วันสุดท้ายของการสมัคร เวลาประมาณ 19.00 น. ก็มาล็อกอินในระบบค่ายอีกครั้ง ปรากฏข้อมูลที่กรอกไว้ทั้งหมดหายยยยย ใช่ครับทุกอย่างมันหายไป ทั้งประวัติส่วนตัว ผลงาน รวมไปถึงการตอบคำถามของตัวเอง แต่โชคดีอย่างที่คำตอบของตัวเองทั้งหมดมีการคัดลอกไว้แล้ว เลยทำให้เหลือแค่พิมพ์คำตอบที่เหลือทั้งหมดและกดส่ง ผมกดส่งตอน 23.51 น. เรียกได้ว่าใช้เวลาจนเกือบจะถึงนาทีสุดท้าย

    ประกาศผล

    วันนั้นจำได้เลยว่า พยายามจะฝืนร่างกายตัวเอง เพื่อให้ถึงเวลาประกาศผล แต่มันเหนื่อยมาก ไม่รู้เหนื่อยกับอะไรมาทั้งวันเลยตัดสินใจหลับไปเลย ไม่ลุ้นแล้ว ตื่นมาค่อยมาอ่านก็ได้ ตื่นมาตอนตี 2 ยังไม่ทันจะเข้าเว็บ ywc.in.th เลยครับ รุ่นพี่ก็ทักมาแสดงความยินดีแล้วที่เข้ารอบสัมภาษณ์ ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง พอเข้าเว็บเพื่อจะไปดูโจทย์การบ้านปีนี้ ร้องโอ้โหวเลยยย เพราะโจทย์ปีนี้คือให้เลือกทำระหว่างสรุปรายการเดินหน้าประเทศไทย/เดินหน้าประเทศไทย วัยทีน หรือทำสรุปการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 ซึ่งมันหิน ๆ ทั้งนั้น

    แน่นอนครับ ด้วยความที่เป็นทีม #ยามเฝ้าจอ ประกอบกับชอบเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ผมจึงเลือกสรุปรายการเดินหน้าประเทศไทย วัยทีน แบบที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา 1 อาทิตย์ก่อนสัมภาษณ์ผมนั่งไล่ดูคลิปรายการย้อนหลังไปประมาณ 3 เดือน เพื่อที่จะคัดเลือกตอนที่ตัวเองจะสรุปได้ง่ายมากที่สุด จนไปเจอกับคลิปเดินหน้าประเทศไทย วัยทีน ตอนที่รัฐบาลกำหนดนโยบายการรู้เท่าทันสื่อของเยาวชน ผมจึงได้เลือกมาเป็นการบ้านของผม และสรุปมันออกมาให้อยู่ในรูปแบบของวิดีโอสั้น ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส (อีกแล้ว) ชมคลิปการบ้านได้ที่นี่

    วันสัมภาษณ์

    คิวแรกของวัน กับการสัมภาษณ์ค่าย YWC#16
    คิวแรกของวัน

    ตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว รีบไปที่ตึก CP ด้วยรถไฟฟ้า MRT เป็นปีแรกที่ไม่ต้องรีบวิ่งเข้าตึก เดินสบาย ๆ ชมนกชมไม้ทำจิตใจให้สงบพยายามไม่ตื่นเต้น “น้องมาสัมภาษณ์ค่าย YWC ใช่ไหมคะ” พี่สตาร์ฟหน้าตึกกล่าวทักทายกับผม “ใช่ครับ” “น้องสัมภาษณ์ลำดับที่ 1 นะคะ ขึ้นไปเตรียมตัวได้เลย” อะไรนะ สัมภาษณ์เป็นคิวแรก หลังจากพยายามไม่ตื่นเต้นก็คงทำไม่ได้ละ อัตราการเต้นหัวใจน่าจะพุ่งปรี๊ดขึ้นมาเรื่อย ๆ แน่

    คิวที่ 1 เชิญครับ เติ้ล บรรณาธิการ spaceth.co กล่าว ผมลุกขึ้นพร้อมเดินไปกับน้องเขา ไปนั่งรอหน้าห้องประหนึ่งว่ากำลังจะต้องไปให้ปากคำกับด่านตรวจคนเข้าเมือง

    กำลังโดนเชือด ณ ห้องสัมภาษณ์ YWC#16
    กำลังโดนเชือด

    “ขออนุญาตนั่งนะครับ” เป็นคำพูดแรกในห้องสัมภาษณ์ของผม ผมเริ่มด้วยการแนะนำประวัติตัวเองอย่างคร่าว ๆ ชื่ออะไร เรียนคณะไหน ผลงานตัวเองมีอะไรบ้าง หลังจากนั้นผมก็นำเสนอการบ้านของตัวเองต่อโดยทันที กรรมการไม่รอช้ายิงคำถามผมมารัว ๆ

    • มีผลงานอะไรเด่น ๆ บ้าง
    • ทำไม? ถึงเลือกทำเว็บไซต์ชุมชนเพื่อสุขภาพชาย
    • ได้ติดตามข่าวไอคอนสยามหรือเปล่า
    • ถ้าให้ทำคอนเทนต์หนึ่งอย่างเกี่ยวกับไอคอนสยามจะทำอะไรที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น
    • ถ้าให้ทำการบ้านเรื่องการเลือกตั้งปี 62 จะทำออกมาในรูปแบบไหน เพราะอะไร
    • อยู่ปี 4 แล้วถ้าได้เข้าค่ายจะมาช่วยงานปีหน้าได้หรือไม่
    • จะประชาสัมพันธ์ค่ายด้วยวิธีไหนให้คนมาสมัครเยอะที่สุด
    • จะดึงเพื่อนมหาวิทยาลัยอื่นมาสมัครค่ายได้อย่างไร
    • คอนเนคชั่นเราเป็นยังไงบ้าง
    • ….

    ผมพยายามฟังทุกคำถามอย่างละเอียด เพราะติดนิสัยชอบเกริ่นนำทำให้บางครั้งกลายเป็นการตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม คำตอบของผมตอบออกมาด้วยความมั่นใจ พยายามที่จะไม่แสดงความกังวลออกมา หลังจากสัมภาษณ์เสร็จผมรู้สึกต่างจากปีอื่นมาก ปกติหลังจากสัมภาษณ์ผมจะมานั่งดาวน์ มานั่งบ่นกับรุ่นพี่ แต่ปีนี้สัมภาษณ์เสร็จยังไม่ถึง 10 โมง ลงไป True Coffee สั่งกาแฟโบราณ นั่งอ่านนิตยสารอย่างสบายใจ

    ติดค่ายยยย

    หลังจากกด F5 หน้าเว็บตลอดทั้งวัน ตอนประมาณ 5 ทุ่มกว่าก็ประกาศผลว่าผมติดค่ายในปีนี้ รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองที่พยายามจนมาถึงจุดนี้ได้ ขอบคุณรุ่นพี่ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่คอยให้กำลังใจกันเสมอ เหนือสิ่งอื่นได้ผมรีบเปิดแอปธนาคารโอนเงิน 500.07 บาทเพื่อยืนยันการเข้าค่ายทันที ถ้าปล่อยทิ้งไว้หรือชะล่าใจก็น่าจะลืมเป็นแน่

    ผ่านแล้วโว้ยยย
    ยินดีด้วยคุณผ่านการคัดเลือก

    วันที่ 1 – 22 ธันวาคม 2562

    ค่ายปีนี้จัดที่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ด้วยความที่อยู่นนทบุรีเลยต้องรีบออกจากบ้านเร็วเป็นพิเศษ พอถึงไปสถานที่จัดค่ายก็ลงทะเบียน รับป้ายชื่อ รับ Tag ติดกระเป๋า ตามขั้นตอนมาตรฐานทั่วไป หลังจากนั้นก็เข้าไปในห้อง Auditorium เพื่อรับชมการเปิดค่าย การเสวนาพิเศษ

    เหตุการณ์ในวันนี้มีแต่จุดหักมุม ตั้งแต่กิจกรรม ไปจนถึงการแบ่งกลุ่ม ชอบการพยายามทำกลุ่มหลอกขึ้นมามาก เป็นอะไรที่ประทับใจสุดถึงความพยายาม จนต้องถามพี่กลุ่มว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มสุดท้ายหรือยัง กำหนดการนี้เป็นกำหนดการจริงหรือหลอก กลายเป็นว่าเดาอนาคตตัวเองไม่ถูกเลยว่าจะเจออะไรต่อไป

    TOWN A คือกลุ่มสุดท้ายที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว พอได้เจอกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็รับรู้ได้ถึงความโหดแต่ละคน มาจากจุฬา มหิดล เชียงใหม่ พระจอมเกล้า รวมไปถึงมีน้องเป็นเด็ก ม.6 ที่โดดสอบกลางภาคมาจากเตรียมฯพัฒน์ด้วย ด้วยความที่เราเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนเพียงคนเดียว ก็พยายามจะถ่อมตัว เน้นเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า

    เวลาระดมไอเดียก็มาถึง โจทย์ดูเหมือนจะไม่ยากนะ แค่คิดว่าตัวเองมีปัญหาอะไร ก็นำเสนอออกมาให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้ ประเด็นปัญหาที่ได้รับเลือกคือ “กาแฟ” ยอมรับเลยว่าตัน ถึงแม้จะเป็นคนชอบกินกาแฟอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่รู้รายละเอียดและปิดกั้นรสชาติของตัวเองว่าต้องเป็นเมล็ดจากประเทศนี้ สายพันธ์ุแบบนี้เท่านั้น คือกินได้หมดขอแค่ให้เราตื่น แต่เมื่อเพื่อน ๆ ในทีมโหวตแล้ว เราก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของทีมและพยายามทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด

    ยิ่งถล้ำลึกยิ่งถอนตัวออกมายาก ประเด็นหลักของคืนนี้คือทุกคนจะต้องช่วยกันคิดปัญหา วิธีแก้ปัญหาออกมาให้ได้ เพราะกำหนดการวันถัดไปจะต้องลงพื้นที่ไปสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนกลุ่มเป้าหมาย นั้นหมายความว่าถ้าปัญหาหรือวิธีการแก้ไขปัญหาของเราไม่ชัดเจน จะทำให้เราไม่ได้ลงพื้นที่ซึ่งจะเป็นผลเสียแน่นอน คนในทีมช่วยกันออกแบบหน้าตาเว็บ จุดขาย โมเดลธุรกิจทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว แต่พอไปปรึกษากับรุ่นพี่ซีเนียร์เขาก็ชี้ให้เห็นจุดบอดอย่างชัดเจน ที่มันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วย จนคนในกลุ่มต้องมานั่งปรึกษากันก่อนจะถึงชั่วโมงสุดท้ายในการระดมไอเดีย ว่าจะทำยังไงต่อ จะไปต่อไหม หรือจะรื้อทำใหม่ สีหน้าของทุกคนตอนนั้นเหนื่อยมาก ยิ่งมีรุ่นพี่เดินเข้ามาในกลุ่มแล้วบอกให้เริ่มขั้นตอนแรกใหม่ก็เริ่มท้อกันเข้าไปใหญ่

    ตามหาน้องหมาน้องแมว เป็นอีกไอเดียที่ได้รับการเลือก แต่ทุกคนในทีมก็ยังไม่อินกับหัวข้อนี้ จนกระทั่งมีรุ่นน้องคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ให้คนในกลุ่มฟังว่า การทำน้องแมวหายไปจากบ้านอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าของเป็นอย่างไร ซึ่งหลังจากฟังจบจากการที่อินอยู่แล้วตั้งแต่แรก มาเจอเรื่องราวของน้องยิ่งอินเข้าไปใหญ่ เราก็เปลี่ยนฝั่งจากผู้ฟัง มาเป็นผู้สนับสนุนหัวข้อนี้อย่างเต็มตัว จนสุดท้ายโปรคเจคตามหาน้องหมาน้องแมวก็ได้รับการยอมรับจากคนในกลุ่ม

    กลับถึงโรงแรมที่พัก พูดได้คำเดียวว่าโอ้วววว ห้องใหญ่มาก มีไดร์เป่าผม ห้องน้ำ 2 ห้อง นอนห้องละ 2 คน รับรู้ได้ถึงการเตรียมการอย่างดีของทีมจัดค่าย กลุ่มของผมนัดคุยงานกันตอน 0.30 น. ก็มีพี่บ้านทั้งพี่ทนกับพี่ฟางฟางก็มานั่งอยู่เป็นเพื่อน คอยช่วยเสนอไอเดียอยู่ตลอดเวลา ทางทีมพยายามจะทำให้ไอเดียออกมาเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทั้งฟีเจอร์ทั้งหมดที่เว็บเรามี หน้าตาเว็บจะเป็นอย่างไร คุยกันเสร็จเกือบๆ ตี 4 ครึ่งก็แยกย้ายกันไปนอน

    วันที่ 2 – 23 ธันวาคม 2561

    “ล้อหมุน 7 โมงนะคะ รีบลงมาทานอาหารเช้า ถ้ามาไม่ทัน skip ไปข้าวเที่ยงได้เลย” พี่บ้านเตือนในไลน์กลุ่ม วันนี้ผมรีบลุกอาบน้ำตั้งแต่เช้า เพราะเป็นคนอาบน้ำช้า อาบเสร็จรีบลงไปกินข้าว ร้องโอ้เป็นรอบที่ 2 โรงแรมอาหารดีมาก มีทั้งชา กาแฟ ขนมปัง ไส้กรอก ซุป แฮม ไข่ดาว เลือกผสมปนเปได้เลยว่าจะกินแบบไทยหรือเทศ

    เช้าวันนี้กลุ่มของเราง่วนอยู่กับการลงพื้นที่สัมภาษณ์หา Insight ของกลุ่มเป้าหมาย เราแบ่งกลุ่มกันเป็นออกเป็น 4 ทีม ทีมละ 2 คน เพื่อแยกย้ายกันไปสัมภาษณ์ที่สวนพระนคร ทางค่ายก็ได้จัดเตรียมรถรับส่งไว้ให้ เป็นรถสองแถว ที่สามารถเดินทางได้ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากคณะ พอถึงสวนพระนครทุกคนต่างรู้หน้าที่ตัวเอง ก็รีบหาข้อมูลให้เร็วที่สุดเพราะเวลามีอยู่อย่างจำกัด การพูด การสัมภาษณ์เป็นสิ่งที่ผมชอบมาก เพราะมันไม่ต้องเขียน พยายามดึงทักษะของตัวเองออกมาใช้สัมภาษณ์ในครั้งนี้

    ลงพื้นที่หา Insight
    ลงพื้นที่หา Insight

    หลังจากได้ข้อมูลเป็นที่พอใจและเวลาเหลือ ทางกลุ่มและพี่บ้านก็ตกลงกันว่าจะไปต่อที่พาซิโอ เพราะก่อนจะออกเดินทาง ทางทีมจัดค่ายได้ให้เงิน 500 บาทเป็นค่าอาหารกลางวันของแต่ละกลุ่ม กลายเป็นโจทย์ที่ยากอีกอย่างหนึ่งว่าในงบ 500 บาทจะกินอะไรกันดี หวยเลยมาออกที่ KFC

    กลับมาถึงคณะก็แยกย้ายกันอบรมตามสาขา ในบ่ายวันนี้สาขาคอนเทนต์อบรมกับพี่เอ็มและปอง ทำให้ผมได้รู้ถึงระดับความสามารถของตัวเองที่มีน้อยกว่าที่ตลาดต้องการมาก ทำให้เราต้องฝึกฝนและพยายามขึ้นให้มากกว่านี้

    กิจกรรมสันทนาการ ชอบของช่วงเย็นวันนี้มากที่สุดจนต้องเขียนถึง ลักษณะกิจกรรมเป็นเกมง่าย ๆ แค่ต้องชิงธงเมืองอื่นให้ได้เยอะที่สุด บ้าน A ได้อยู่สีแดง มีฐานที่มั่นอยู่ใกล้กับห้องน้ำและเครื่องถ่ายเอกสาร แค่เริ่มเกมผมก็ตีมึนแล้ว หาบ้านตัวเองไม่เจอ เดินไปไหนก็เจอแต่สีอื่น จนพี่ฟางต้องมาตามกลับบ้าน พอเริ่มเกมนับได้ว่าเป็นเกมที่ดุเดือดมาก มีทั้งขโมย จับกัน ล้อมกัน ทำให้เรารู้ตัวเองเลยว่าเหนื่อยง่ายแค่ไหน วิ่งตามเพื่อน ๆ ไม่ค่อยทัน แต่เมื่อใดที่ได้อยู่กับกลุ่มเพื่อน ถึงไหนถึงกัน จำได้ว่าน้องกร บรรณาธิการ spaceth.co ได้วิ่งเข้ามาในเขตสีแดง ซึ่งน้องเป็นสมาชิกของสีอื่น ทำให้เจ้าบ้านอย่างพวกผมกว่า 5 คน รุมล้อมน้องเขาไว้ น้องพยายามจะมุดหนีใต้โต๊ะ ด้วยความที่เราอยู่ปี 4 ก็เกิดคำถามในใจ “เราจริงจังกันไปปะวะ” “ถ้าน้องหัวแตกขึ้นมาจะทำยังไง” 3 คนในทีมก็พยายามจะแย้งป้ายสีของน้องกร ส่วนผมกับเพื่อนอีก 1 คนก็พยายามจะเซฟน้องกรไว้ ไม่ให้ล้ม ไม่ให้หัวไปชนกับโต๊ะ ด้วยความคิดง่าย ๆ ว่า “ถ้าน้องเกิดอุบัติเหตุมา เราไม่รู้จะมองหน้าน้องยังไง” พอสรุปกิจกรรม คะแนนที่ได้จากการชิงธงบ้านอื่น ที่ได้จากการเปิดกล่องพิเศษไม่สำคัญเลย เพราะที่สุดแล้วเกมนี้เป็นเกม “เผยสันดาน” ให้เห็นลึกๆ ว่าเป็นคนยังไง มีความเป็นผู้นำหรือเปล่า เป็นคนก้าวร้าวหรือไม่ ทำงานเป็นทีมได้หรือเปล่า ซึ่งพอได้รู้อย่างนั้นแล้วก็สะพรึงเบา ๆ เพราะท้ายที่สุดเราก็ได้รู้จักนิสัยส่วนลึก ๆ ของตัวเอง

    เกมสันทนาการที่มันที่สุด และเหนื่อยที่สุดเช่นกัน
    YWC War เกมสันทนาการที่มันที่สุด และเหนื่อยที่สุดเช่นกัน

    ถึงเวลาระดมไอเดีย ถึงแม้กำหนดการจะให้เวลาถึง 3 ชั่วโมง แต่ก็บอกได้คำเดียวว่าไม่พอ กลุ่มของผมพยายามจะตบประเด็นให้ได้ ว่าสรุปแล้วเราควรจะมีฟังก์ชันอะไรบ้าง ถ้าผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ของเราแล้วจะทำอะไรต่อ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเมื่อทุกคนเห็นภาพเดียวกันแล้ว การทำงานราบรื่นขึ้นกว่าวันแรกมาก ใครที่ถนัดด้านไหนก็จะแสดงความคิดเห็นออกมาว่าควรเป็นแบบนี้ รุ่นพี่ซีเนียร์ก็เห็นด้วยกับเรามากขึ้น แต่ก็หาจุดบอดให้เรากลับไปคิดและแก้ไขกันต่อ

    ถึงโรงแรม เราก็นัดกันเวลาเดิมคือ 0.30 น. เป้าหมายของเราในคืนนี้คือการร่างเว็บไซต์ออกมาให้สมบูรณ์มากที่สุด เพราะพรุ่งนี้เช้ากว่า 9 ชั่วโมง ทั้งทีมจะต้องนั่งทำเว็บไซต์นั้นออกมากจริง ๆ และแล้วคืนนี้เราก็นอนตี 4 กันอีกเหมือนเดิม

    วันที่ 3 – 24 ธันวาคม 2561

    ค่าย ywc#16 ดำเนินมาถึงวันสำคัญที่สุด นั้นก็คือวันทำ Workshop เมื่อถึงเวลาทำงานจริง ทุกคนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนตามสาขาที่ตนสมัครเข้ามา ผมทำงานร่วมกับน้องจุ้ย ซึ่งผมให้น้องเขานำทีมคอนเทนต์และสั่งผมมาเลยว่าเราจะทำอะไรกันบ้าง จุ้ยกับผมก็เลยตัดสินใจว่าเราจะเตรียมข้อมูล รายละเอียดของสุนัขทั้งรูปภาพและข้อมูลให้กับฝั่งโปรแกรมเมอร์ และฝั่งมาร์เก็ตติ้ง แก้ไขคำที่ทางฝั่งดีไซน์ร่างไว้ให้ ทุกคนในกลุ่มทำงานเป็นทีมกันมาก

    1 ชั่วโมงของการทำ Workshop ผ่านไป ทางฝั่งคอนเทนต์เตรียมข้อมูลสำหรับน้องหมาเสร็จทั้งพันธุ์ พิกัด ลักษณะ จุดเด่น ฯลฯ ก็เลยทำอย่างอื่นต่อซึ่งก็คือการเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับหน้า ผมรับผิดชอบหน้า Donation ส่วนน้องจุ้ยทำ About Us และ Review จนฝั่งเราทำเสร็จก็เลยไปนั่งเขียนบทความกันต่อคนละ 1 บทความ ผมเขียนบทความสัมภาษณ์ตัวเอง ส่วนน้องจุ้ยเขียนเกี่ยวกับ 6 วิธีสังเกตสุนัขจะออกจากบ้านพร้อมวิธีป้องกัน

    หลังจากนั้นพวกเราก็กระโดดลงไปนั่งทำแฟนเพจเฟซบุ๊ก ทำโพสต์ ใส่รายละเอียดต่าง ๆ เมื่องานคอนเทนต์ดูสมบูรณ์แล้ว น้องจุ้ยก็ลงไปช่วยฝั่งโปรแกรมเมอร์ ซึ่งผมช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้เลย เขียนโปรแกรมไม่ได้ ก็เลยลองไปดูฝั่งมาร์เก็ตติ้งว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม ปรากฏก็มีแต่งานที่เราทำไม่ได้อีกเช่นกัน ตอนนั้นรู้สึกดาวน์หนักมาก ที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรทีมได้เลย

    จนพี่ทนซึ่งเป็นพี่บ้านก็ได้เข้ามาคุยว่าเป็นอะไร ผมก็พูดประมาณว่ารู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์อย่างมาก ที่ช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้เลย พี่ทนเห็นอย่างนั้นไม่รอช้าครับ หางานมาให้ทำทันที นี่ ๆ เอ็งคิดเมนูเลยจะชื่ออะไร ใส่แคปชั่นยังไง ไปหาภาพมาด้วยขอลักษณะภาพแบบนี้ ตกแต่งมันด้วยนะ มันทำให้เราฮึดสู้อีกครั้ง ถึงแม้เราจะลงไปช่วยงานอื่นไม่ได้มากนัก เราก็ขอทำหน้าที่ของฝั่งตัวเองให้ดีสุดเท่าที่เราจะทำได้

    ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของการ Workshop ทุกคนไปรุมอยู่ที่น้องแป้ง เพื่อจะรอดูเว็บไซต์ออนไลน์ น้องเขาพยายามจะดีพลอยเว็บ แต่มันก็มีปัญหาเกิดขึ้น ทุกคนในทีมลุ้น จนสุดท้ายหมดเวลาน้องก็ปล่อยโฮออกมา รู้สึกสะเทือนใจตัวเองมากๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลย ผมทำได้มากที่สุดคือการไปปลอบและให้กำลังใจว่า “แป้งทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องซีเรียสนะ” “เก่งมาก” ทุกคนในกลุ่มพยายามให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ท้ายที่สุดพี่ซีเนียร์ก็เขามาดูและทำให้เว็บไซต์ออนไลน์สำเร็จ

    เวลาของปาร์ตี้ก็มาถึง ธีมปีนี้คือผีร้าย ก่อนจะมาค่ายผมก็คิดว่าจะเป็นตัวอะไรดี ก็เลยเลือก “คาโอนาชิ” ลงทุนสั่งหน้ากากและซื้อผ้าดำยาว 4 เมตรสำหรับปาร์ตี้นี้โดยเฉพาะ พองานเริ่มน้องดิวบอกพี่แบบนี้ไม่สนุก มาเดี๋ยวหนูเพ้นท์ให้ เอาวะถ้ามันไม่ดีน้องคงจะไม่แนะนำ น้องก็เพนท์หน้าคาโอนาชิให้เราเลย ซึ่งก็ออกมาน่ารักมาก เราก็เลยยกหน้ากากคาโอนาชิให้น้องจุ้ยไป

    ส่วนของกินกับเพลงก็ถือได้ว่าเป็นเหมาะสมอย่างมากที่จะมาเป็นตัวปลดปล่อยความกดดัน ความเครียดทั้งวัน ผู้สนับสนุนเขาโหดจริง ๆ มีทั้งพิซซ่า เกี๊ยว และซาลาเปาจัดเต็มหมด ปิดท้ายคืนด้วยไอติมที่มีโลโก้ค่ายอยู่ ขออนุญาตเรียกว่านวัตกรรมเพราะเอาลิ้นไปแตะปุ๊ปตื่นทันที

    ไอติมนวัตกรรม
    ไอติมนวัตกรรม

    เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องนำเสนอผลงานที่คิดกันมาตลอด 3 วัน 2 คืน ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งเท่าที่ไล่ตามอ่านดูของแต่ละปีก็รับรองได้เลยว่ามีความเผ็ดระดับร้อนแรง กลุ่มของผมกลับถึงที่พักประมาณ 23.30 น. รุ่นน้องในกลุ่มก็นัดมาในไลน์ว่าจะคุยงานกันตอน 0.20 น. โอเคไหม ทุกคนก็ตอบตกลง ผมก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวรอจนกระทั้งใกล้เวลา 0.20 น. น้องก็ทักมาอีกว่าอาบน้ำไม่ทันขออีก 10 นาที เราก็เลยคิดว่างั้นงีบเอาแรงสักพักก็คงจะดี

    คำว่าสักพักไม่มีอยู่จริงผมเผลอหลับแบบจริงจังมาก คนอื่นในทีมพยายามปลุกห้องผม ทั้งเคาะ ทั้งเงี่ยหูฟัง ก็ไม่มีเสียงตอบรับออกจากห้อง 7501 แต่อย่างใด รุ่นน้องพยายามไลน์ พยายามโทร ผมกับจุ้ยก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับต่อสิ่งเร้านั้น จนสุดท้ายน้องดิวต้องลงไปขอกุญแจจากล็อบบี้มาเปิดห้องผม เพราะถ้าคนไม่ครบมันคุยงานไม่ได้แน่ ๆ

    ใช่ครับกายหยาบผมตื่น แต่วิญญาณผมยังนอนอยู่ ผมเดินตาปรื่อลงไปกับน้องๆ เพื่อนั่งคุยกัน น้องแป้งพยายามหันมาถามผมว่า พี่ยังฟังหนูรู้เรื่องใช่ไหม นี่ก็พยายามพยักหน้าตอบกลับไป หลังจากนั้นน้องก็เริ่มแบ่งงานว่าใครควรจะพูดตรงไหน ซึ่งทุกคนก็เริ่มซ้อมพรีเซ็นต์ น้อง ๆ เริ่มขอความเห็นว่าตรงนี้จะพูดยังไงดี ด้วยความที่เราเรียนนิเทศ ประกอบกับเรียนวิชาพรีเซ็นต์มา 1 เทอมเต็ม ๆ ก็เลยลองเสนอไอเดียไปว่า ตรงนี้ควรเปิดด้วยประโยคคำถามนะ ตรงนี้น่าจะอธิบายแบบนี้ หลังจากผมนำเสนอไอเดียเสร็จน้อง ๆ ก็ดูจะเห็นพ้องกับสิ่งที่ผมนำเสนอด้วย ก็เลยมอบหน้าที่นำเสนอให้ตกเป็นของผมและของดิว

    ผมทดลองนำเสนอต่อหน้ารุ่นพี่ซีเนียร์ พี่ๆ เขาก็ให้คำแนะนำอย่างดีมาก ไม่ควรจบแบบนี้นะ กราฟนี้มีปัญหาต้องอธิบายประมาณนี้แทน หลังจากนั้นกลุ่มของผมจึงกลับมานั่งซ้อมจับเวลากันต่อ โดยที่ทุกๆ คนในทีมช่วยกันดีมาก พี่อันนี้ผมว่าไม่ควรพูด พี่อันนี้เป็นประเด็นสำคัญใส่ไปด้วย อันนี้อ่านว่าเดลเซฟเวอร์นะ ไม่ใช่เดลเซิร์ฟเวอร์ระวังด้วยนะพี่ รอบสุดท้ายที่ซ้อมกันเวลาออกมาดีมากคือ 8 นาที 50 วิ ซึ่งทางค่ายกำหนดเวลานำเสนอไว้ที่ 10 นาที เพราะฉะนั้นผมมั่นใจว่ายังไงก็ตามเวลาก็ไม่มีทางเกิน จบวันจบคืนอันแสนยาวนานที่เวลา 4.15 น. (อีกแล้ว)

    วันที่ 4 – 25 ธันวาคม 2561

    เช้าวันนี้ผมพยายามทำตัวให้โล่ง สมองโปร่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเวลาขึ้นเวทีแล้วจะได้ตื่นเต้นน้อยลง และสามารถตอบคำถามกรรมการได้ดี ระบบสุ่มวันนี้เป็นรถไฟฟ้าซึ่งเมื่อรถไฟฟ้าวิ่งไปหยุดที่สถานีใดกลุ่มนั้นต้องพรีเซ็นต์ ตั้งแต่เริ่มสุ่มทีมแรกก็รับรู้ได้ว่า ภายในช่วงเช้าวันนี้รถไฟมันจะต้องมาหยุดที่สถานี A สักครั้ง หลังจากสุ่มไป 3 รอบ รถไฟก็มาหยุดที่สถานี A เป็นสัญญาณว่าการนำเสนอของกลุ่มผมจะต้องเริ่มต้นขึ้น

    ขณะกำลังนำเสนองาน
    ขณะกำลังนำเสนองาน

    ผมขึ้นไปเปิดการพูดด้วยคำว่า “สวัสดี” ยิงต่อด้วยประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแบบที่ซ้อมกับเพื่อนมาเมื่อคืน ทุกอย่างถูกดำเนินการเหมือนถูกจัดวางเอาไว้ ผมพูดเกริ่นเสร็จก็ต่อด้วยน้องดิวที่จะมาอธิบายถึงแผนธุรกิจ หลังจากนั้นผมกับน้องแป้งก็มาทำ DEMO เว็บไซต์กัน สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในการนำเสนอครั้งนี้ก็คงเป็นประโยคปิดของผมที่ได้รับการแนะนำจากแม่แอ้มป์ว่าควรจะปิดอย่างไร กลายมาเป็นบทพูดที่ว่า “สุดท้ายนี้เราหวังว่าโปรเจคของเราจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ขึ้น มือทั้ง 16 มือของเราไม่อาจจะทำให้โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรามั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุดมือทั้ง 16 มือนี้จะช่วยเปลี่ยนโลกของสุนัขสักตัวอย่างแน่นอน ซึ่งตอบโจทย์กับคอนเซ็ปต์ค่ายที่ว่า Ready to Disrupt นวัตกรรมเว็บเปลี่ยนโลก ขอบคุณครับ”

    หลังจากนำเสนอเสร็จคำถามจากคณะกรรมการได้ถูกถาโถมเข้ามาหากลุ่มของพวกเรา หลาย ๆ คำถามเป็นคำถามที่มีการคิดกันไว้ก่อนล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถที่จะหาคำตอบสรุปได้ ทางกลุ่มจึงไม่ได้เลือกตอบคำถามนั้นไป ผู้ตอบส่วนใหญ่ก็ยกเครดิตให้กับโอ๊ตที่พยายามฟาดฟันกับกรรมการอย่างสุดความสามารถ

    นำเสนอเสร็จก็ไม่มีความกังวลใดๆ แล้ว เรากล่าวคำว่าขอบคุณซึ่งกันและกันขณะรับประทานอาหาร ขอบคุณแป้งและดิวที่เขียนเว็บไซต์ให้ออกมาตามโจทย์ที่พวกเราคิด ขอบคุณวินและก๊อตที่ออกแบบเว็บไซต์ได้สวยงามทันสมัย ขอบคุณโอ๊ตและดิวที่คิดค้นแผนธุรกิจให้โปรเจคนี้สามารถดำเนินการต่อไป และขอบคุณจุ้ยที่ได้รังสรรค์คอนเทนต์มาประกอบเว็บไซต์ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

    นี่บ้านเอหรือบ้านทรายทอง
    นี่บ้านเอหรือบ้านทรายทอง

    ท้ายที่สุดผมมองว่าค่าย YWC#16 นี้ไม่ได้ให้แค่ความรู้ ไม่ได้ให้แค่อาหารที่พัก ไม่ได้ให้แค่เพื่อน แต่ยังได้ให้ประสบการณ์การทำงานกับคนอื่นที่มีพื้นฐานต่างกัน แต่ยังได้ให้มิตรภาพระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องที่เวลามีปัญหาก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือเสมอ แต่ยังได้ให้คำแนะนำดีๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ หากถามผมว่าสรุปแล้วมันคุ้มไหมกับความพยายามตั้ง 3 ปีที่พยายามสมัคร ผมคงตอบได้แค่ว่าลองมาเข้าสักครั้งแล้วคุณจะได้รู้ด้วยตัวเองว่ามันคุ้มไหมกับความพยายามเหล่านั้น



  • กว่าจะเป็น “นพรัตน์ทองคำ” ฝ่ายชายคนที่ 32

    กว่าจะเป็น “นพรัตน์ทองคำ” ฝ่ายชายคนที่ 32

    นพรัตน์ทองคำ เป็นการประกวดภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อเฟ้นหานักศึกษาที่มีความพร้อมครบทั้ง 9 ประการตามความหมายของคำว่านพรัตน์โดยผู้เข้าร่วมประกวดทุกคนจะต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกที่ตั้งไว้สูง ทั้งยังต้องผ่านการเคี่ยวที่เข้มข้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางคณะกรรมการได้จัดขึ้น

    เมื่อโอกาสมาจงคว้ามันไว้

    ย้อนกลับไปเมื่อสมัยเป็นเฟรชชี่ ผมได้เห็นข่าวการประกวดนพรัตน์อยู่หลายครั้ง ทั้งข่าวการรับสมัคร ข่าวการทำกิจกรรม รวมไปถึงการประกาศผลผู้ที่รับตำแหน่งในปีนั้น อาจารย์หลาย ๆ ท่านก็เคยพูดถึงว่าเป็นการประกวดนี้ว่าเป็นการประกวดที่สูงที่สุดในมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีเกณฑ์คัดเลือกที่สูง กิจกรรมที่ต้องทำให้ครบทุกเงื่อนไข เพราะฉะนั้นใครที่ผ่านการประกวดนี้มาได้ ไม่จำเป็นจะต้องชนะเป็นอันดับ 1 ก็ถือได้ว่ามีความสามารถ ความโดดเด่นอยู่พอสมควร

    เมื่อขึ้นปี 3 เทอม 2 ผมได้เห็นโปสเตอร์การรับสมัครในช่วง 2 วันสุดท้ายก่อนหมดเขตส่งใบสมัคร เมื่อผมได้ทำการอ่านอย่างละเอียดก็พบว่าเงื่อนไขผมผ่านทุกอย่าง ทั้งเกรดเฉลี่ย ภาษา และพฤติกรรม แต่ผมลังเลที่จะเข้าประกวดในครั้งนี้มาก เพราะเมื่ออ่านเอกสารอีกรอบพบว่าการส่งเข้าประกวดสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ส่งชื่อตัวเอง หรือให้ทางคณะเป็นคนส่ง ในใจตอนนั้นสับสนมาก โดยส่วนตัวเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว ผมคิดไปถึงกระทั้งว่า ถ้าเราส่งชื่อตัวเอง คนอื่นจะมองว่าเรามั่นปะวะ อาจารย์ในคณะเขาจะคิดอะไรยังไงกับเรา ทั้ง ๆ ที่ในเกณฑ์การประกวดก็เปิดกว้างอิสระให้แต่ละคณะส่งผู้เข้าประกวดจำนวนกี่คนก็ได้ แต่ผมก็ยังคิดมากอยู่ดี

    แรงผลักดัน

    เหมือนการคิดมาก และการอยากประกวดของผม จะเป็นระบบอัตโนมัติส่งโทรจิตไปหาอาจารย์ท่านหนึ่งในสาขา ในช่วงเที่ยงของวันนั้นเอง อาจารย์ ณัทธสิฐษิ์ สิริปัญญาธนกิจ ก็ส่งข้อความเข้าเฟซบุ๊กเมสเสนเจอร์ แนะนำการประกวดนี้ ทั้งยังย้ำถึงสิ่งที่จะได้รับ หากเข้าร่วมประกวด ท่านก็ถามผมว่าสนใจจะเข้าประกวดไหม โอกาสมาอยู่แค่เอื้อมมือขนาดนี้แล้ว อาจารย์ในคณะก็สนับสนุนอีก คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะตอบปฏิเสธไป

    ปฐมนิเทศ

    การประกวดได้เริ่มต้นขึ้น วันแรกที่เราจะได้พบผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ และท่านคณะกรรมการคือวันปฐมนิเทศนั้นเอง ในวันนั้นตามกำหนดการได้ระบุว่าการปฐมนิเทศจะเริ่มต้นขึ้นในเวลาประมาณ 14.00 น. แต่วันนั้นผมเลิกเรียนตั้งแต่ 12.00 น. หากจะให้รออยู่เฉย ๆ 2 ชั่วโมง คงจะเฉาแย่ ผมก็เลยตัดสินใจจะไปเดอะมอล์กับเพื่อน อีกทั้งผมถึงวันนัดบริจาคเลือดพอดี จึงคิดว่าหากทำธุระ ทานข้าวเที่ยงกับเพื่อนเสร็จแล้ว ก็คงจะแวะไปบริจาคเลือด แล้วค่อยวกกลับไปงานปฐมนิเทศ

    13.45 น. ผมยังต่อคิวรับบริจาคเลือดอยู่ ความคิดในหัวตอนนั้นเริ่มตีกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ ก็เลยบอกกับพี่พยาบาลว่าถ้างั้นผมขอเก็บใบนี้ไว้ก่อน เพราะผมต้องกลับไปปฐมนิเทศในเวลา 14.00 น. ถ้าเลิกเร็วเดี๋ยวผมจะกลับมาอีกรอบ เป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก ที่ผมวางเวลาไว้แบบนี้

    แน่นอนครับ ความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกในการประกวด เพราะผมไปปฐมนิเทศ “สาย” ผมไปถึงหน้างานตอน 14.05 น. หากจะดูแบบผิวเผินมันก็คือ 5 นาที แต่ทว่ามันเป็นการพบกันครั้งแรก ผมคงทำให้หลาย ๆ ท่านมองผมไม่ดีอยู่ไม่น้อยในเรื่องความรับผิดชอบและการตรงต่อเวลา ที่สำคัญคืองานปฐมนิเทศเริ่มก่อนเวลา เมื่อผมเปิดประตูห้องเข้าไป คุณพระนี้น่าจะถือได้ว่ากลางงานแล้ว ตอนต้นพวกเขาพูดอะไรกัน นัดแนะอะไรกันหรือเปล่า ในใจตอนนั้นกระวนกระวายเป็นอย่างมาก ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียว ทำตัวนิ่ง ๆ มองหาที่นั่งที่ว่าง และนั่งลงไป

    ปฐมนิเทศนพรัตน์ทองคำ
    ผู้เข้าร่วมการปฐมนิเทศนพรัตน์ทองคำครั้งที่ 32

    พี่ปุ๊ หนึ่งในทีมงานการประกวดก็เดินเข้ามาหาผมในอีก 2 – 3 นาทีถัดมา บอกให้ผมออกไปข้างนอก เพื่อจะลงทะเบียนเข้าร่วมงานและจับหมายเลขผู้เข้าประกวดในครั้งนี้ เมื่อพี่ปุ๊ เห็นลายมือ เขาก็จำใบสมัครของผมได้ทันทีว่าเป็นของใคร พี่เขายังแซวด้วยว่าอาจารย์ ณัทธสิฐษิ์ เพิ่งวิ่งมาส่งในวันสุดท้ายของวันรับสมัคร หลังจากเซ็นชื่อเข้าร่วมงานเสร็จ พี่ปุ๊ ก็หยิบโถฉลากมา โถใบนั้นมีกระดาษม้วนหมายเลขเหลืออยู่ประมาณ 5 ใบ มือซ้ายของผมเคลื่อนเข้าไปในโถ คนทุกใบให้คละกันพอเป็นพิธี ผมหยิบได้หมายเลข 36

    อย่างเหลือเชื่อ

    เมื่อผมกลับเข้ามาในงาน พี่ทีมงานอีกท่านก็เข้ามาถามผมว่าผมนั่งหมายเลขอะไร เพราะทุกที่นั่งได้งานมีหมายเลขประจำเก้าอี้อยู่ ผมตอบกลับไปว่า “36 ครับ” เหลือเชื่อครับ ที่นั่งตรงนั้นก็คือที่ผมเข้ามานั่งในตอนแรก ไม่ได้โดนเปลี่ยนที่ไปแต่อย่างใด

    เมื่อการปฐมนิเทศเสร็จสิ้นลงผมไม่รอช้าที่จะถามเพื่อนสนิทผมว่าตอนต้นผมพลาดอะไรบ้าง เขาบอกผมว่า เขาเลือกประธาน รองประธานการประกวดไปแล้ว นัดแนะกำหนดการแข่งขันกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งยังกำหนดวันส่งแฟ้มสะสมผลงานแล้วด้วย โชคดีที่ว่าการพูดคุยในวันนี้ทั้งหมด จะมีการสรุปลงไลน์กลุ่ม ทำให้ผมไม่พลาดกับสิ่งที่สำคัญ

    ผู้เข้าประกวดนพรัตน์ทองคำครั้งที่ 32 ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน
    ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน

    แฟ้มสะสมผลงาน

    แฟ้มสะสมผลงาน
    หน้าปกแฟ้มสะสมผลงานของ ดรศ

    แฟ้มสะสมผลงานมีน้ำหนัก 5 คะแนน โดยส่วนตัวมองว่าการจะทำคะแนนในส่วนนี้ให้ดีที่สุด ไม่ใช่การมีผลงานเยอะเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เป็นกลยุทธ์หลักของผมในการเก็บคะแนนจากส่วนนี้คือการเรียบเรียงเอกสาร เรียบเรียงผลงานทุกอย่างออกมาอย่างมีระบบ  แบ่งหัวข้อ แบ่งหมวดหมู่ โดยส่วนตัวเป็นคนที่มีผลงานกับกิจกรรมในมหาวิทยาลัยค่อนข้างน้อย แต่จะเน้นทำกิจกรรมกับสังคมภายนอกมากกว่า เพราะฉะนั้นการเรียบเรียงอย่างมีระบบ คัดผลงานเด่น ผลงานรอง จัดลำดับหน้าดี ๆ ก็คงจะช่วยเสริมความมั่นใจของแฟ้มเราได้ไม่น้อย

    หมวดหมู่ในแฟ้มสะสมผลงาน
    การแบ่งหมวดหมู่ในแฟ้มสะสมผลงาน

    อีกอย่างการเขียนเรียงความเกี่ยวกับตัวเอง ควรเขียนเรียงตามลำดับเวลาตั้งแต่ประถม มัธยม ไปจนกระทั้งถึงมหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่าตนเองผ่านกิจกรรมอะไรมาบ้าง ได้ทำอะไรเพื่อส่วนร่วมบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็คงทำให้ผู้อ่านซึ่งเป็นกรรมการสามารถร้อยเรียงเรื่องราวต่าง ๆ ได้

    เรียงความ
    ควรเขียนเรียงตามลำดับเวลา

    ทักษะทางเทคโนโลยี

    ทักษะทางเทคโนโลยีมีน้ำหนัก 15 คะแนน  นับตั้งแต่เข้าอบรมวันแรกก็เรียกได้ว่างานช้าง เพราะคะแนนหลักที่จะได้จากทักษะนี้มาจากการทำแฟนเพจเฟซบุ๊กเผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับนพรัตน์ทองคำ ที่ผมให้คำจำกัดว่างานช้างก็เพราะว่า งานแฟนเพจเฟซบุ๊กเป็นงานที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความตั้งใจ และการสือเสาะแสวงหาข้อมูลมาลงเพจอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ข้อมูลใน Page insight ตกลงไป

    ทักษะทางเทคโนโลยี
    ผู้เข้าร่วมประกวดทุกคนกำลังตั้งใจฟัง อ.ลลิตา

    การจัดกลุ่มทำเพจ พี่ ๆ กรรมการเป็นคนจัดกลุ่มให้กับผู้เข้าประกวด กลุ่มที่ผมอยู่มีคนจากหลากหลายคณะ ซึ่งเป็นคนที่ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าหน้าใหม่ ทำตัวกันไม่ถูกเลยทีเดียว

    ให้ความสำคัญกับทุกคน กับทุกความคิดเห็น

    การวางตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะต่างคนมาจากต่างที่ เขาไม่รู้ว่าเราเป็นคนแบบไหนกับการทำงาน เราก็ไม่รู้เขาเหมือนกันว่าจะตั้งใจทำงานแค่ไหน เขาจะฟังเราไหม เราจะเห็นด้วยกับเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นในการเริ่มการทำงานกลุ่มกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย ก็คือการต้องทำความรู้จักกัน หาเรื่องคุย เรื่องที่เรากับเขามีแนวทางไปในแนวเดียวกัน เรื่องราวเหล่านี้จะช่วยเสริมให้เราสนิทกันได้ง่ายขึ้น ทั้งยังส่งผลให้งานออกมามีประสิทธิภาพ อีกอย่างที่สำคัญก็คือการรับฟังทุกความเห็น ซึ่งในบางครั้งก็ทำให้เราได้มุมมองหรือแนวคิดในการทำงานใหม่ ๆ ผมจึงวางแผนการทำงานเพจ โดยแบ่งงานให้ทุก ๆ คนเท่ากัน (ให้ความสำคัญกับทุกคน ทุกความเห็น) งานแรกที่ทำช่วยกันออกความคิดเห็นคือชื่อเพจ

    ดรศ ลองใช้ canvas
    ใช้เทมเพลตไหนดี ?

    การคิดชื่อเพจนี้ยากพอ ๆ กับการหาเสียงประกอบมาลงในวิดีโอ เพราะกลุ่มผมตั้งใจว่าแค่อ่านชื่อนี้ก็ต้องเข้าใจว่ากลุ่มเราทำอะไร เพจเราจะนำเสนอเนื้อหาไปในทิศทางไหน ผ่านไปประมาณ 20 นาที จึงคลอดชื่อ Nine Navigator ออกมาได้ คอนเซปคร่าว ๆ คือเส้นทางสู่การเป็นนพรัตน์

    หลังจากจบการอบรมทักษะไอทีก็มีการสื่อสารกันต่อผ่านกลุ่มไลน์ จนได้โลโก้และหน้าปกเพจออกมา

    หน้าแฟนเพจเฟซบุ๊กกลุ่ม https://facebook.com/NineNavigator/

    ซึ่งเพื่อน ๆ เป็นคนโหวตให้ผลงานของผม ถูกนำมาใช้ในเพจจริง

    เนื้อหาและความต่อเนื่อง

    การแข่งขันในส่วนนี้วัดกันที่เนื้อหาและความต่อเนื่องกันเป็นหลัก นั้นหมายความว่ากลุ่มไหนสามารถแสวงหาเนื้อหามาลงได้บ่อยที่สุด ถี่ที่สุด และมีประโยชน์ที่สุดกลุ่มนั้นก็มีโอกาสที่จะชนะในหัวข้อนี้สูงอีกด้วย

    ตัวอย่างโพสต์ของผม

     

    ทักษะการสื่อสาร

    ในทักษะนี้เป็นการคัดในหลายส่วนกิจกรรมเป็นอย่างมาก และมีรางวัลพิเศษสำหรับทักษะนี้ด้วย

    ภาษาประจำชาติ ผู้เข้าร่วมประกวดจำเป็นจะต้อง อ่านจับใจความ สรุปใจความ รวมไปถึงเขียนเรียงความในประเด็นที่กำหนดไว้ให้

    นั่งตากลมรอโจทย์ทักษะภาษาไทย

    ภาษาต่างประเทศ ผู้เข้าร่วมประกวดจะต้องนำเสนอเนื้อหาที่ตนเองสนใจ ในภาษาต่างประเทศที่ตนเองถนัด เมื่อนำเสนอเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการจะถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เรานำเสนอไป

    สอบปากเปล่าภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว

    การนำเสนอ ในส่วนนี้ทางคณะกรรมการจะมีโจทย์มาให้เราทำการนำเสนอ อย่างเช่นในปีผม ได้รับโจทย์ว่าเป็นเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือบริการ ที่ใช้การเรียนรู้แบบ STEM มาสร้างสิ่งที่เปลี่ยนวิถีชีวิตได้ โดยมีข้อแม้ว่าสิ่งที่เราจะนำเสนอจำเป็นจะต้องเกี่ยวกับสาขาที่ตนเองเรียนด้วย เนื่องจากผมเรียนสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ ผมเลยนำเสนอเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่ผู้ลงข่าว สามารถเลือกจุดหมายปลายทาง และดูรายงานผลลัพธ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่มาจัดการให้ นอกจากนี้ส่วนที่จะเป็นคะแนนหลักไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ บุคลิกและทักษะในการนำเสนอ จำเป็นจะต้องทำถูกทุกท่วงท่า ใช้มือให้ถูก ใช้ขาให้ถูก เน้นประโยคให้ถูก ถึงจะได้คะแนนที่สูงในส่วนนี้ไป

    หารูปตัวเองไม่เจอจากกิจกรรมนี้ เอารูปเพื่อนมาละกัน เป็นทักษะที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการนำเสนอมากที่สุด ตั้งแต่การยืน การวางมือ ไปจนกระทั้งการจัดวางข้อความ รูปภาพ บนสไลด์

    การเข้าค่ายนพรัตน์ทองคำ 3 วัน 2 คืน

    กิจกรรมนี้มีน้ำหนัก 20 คะแนน ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญระดับสูง ไฮไลท์ตัวแดงไว้เลย ทุก ๆ ย่างก้าว ทุก ๆ การขีดเขียน ทุก ๆ คำพูดที่ออกจากปากเรา จะถูกจับตาโดยกรรมการ เรียกได้ว่ามอนิเตอร์ตลอด 24/7 กันเลยทีเดียว

    16 มีนาคม 2561 (วันที่หนึ่ง)

    ตื่นนอนตอนเช้า คว้าผ้าเช็ดตัวรีบบึ่งเข้าไปในห้องน้ำ แต่งตัวด้วยความเร่งรีบ ด้วยความคิดที่ว่าวันนี้เราจะสายไม่ได้นะ ปรากฏไปทันเวลานัดตอน 6.30 น. นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นเพื่อน ๆ ร่วมทีม รวมทั้งได้เห็นป้ายชื่อ

    มีความหน้าเทา รวมทั้งเชิดหน้า เพื่อน ๆ ล้อตลอดวัน

    การเข้าค่ายครั้งนี้มีการแบ่งทีมไว้เรียบร้อย โดยมีทั้งหมด 4 สี คือ เขียว ม่วง ฟ้า และชมพู ส่วนผมนั้นได้อยู่ “สีม่วง” มีสมาชิกประมาณ 8 คน หลังจากได้รับป้ายชื่อเรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ประมาณ 7 โมงกว่า ไปถึงสถานที่เราต้องทำกิจกรรมแรก

    บ้านถ้ำเสือ

    กำลังขะมักเขม้นกับการทำขนมทองม้วน

    หมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศที่สวยงามเป็นอย่างมาก พรรณไม้พฤกษามีหลากหลายวงปีตั้งแต่รุ่นเด็ก ๆ จนไปถึงรุ่นร้อยปี อีกทั้งการมาหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้ผมได้เห็นต้นมเหสักข์กับสักข์สยามินทร์ ที่มีขนาดใหญ่หลายคนโอบเป็นครั้งแรก ซึ่งพี่ที่เป็นผู้ดูแลที่นี้บอกว่า หากตัดต้นนี้ไปขายจะสามารถขายได้หลายแสน

    การจะมาหมู่บ้านนี้เพื่อจะมาดูต้นไม้อย่างเดียวก็คงไม่ใช่วิถีของชาวนพรัตน์ กิจกรรมที่ผมได้ทำมีหลายอย่าง อาทิ การทำขนมทองม้วน ผู้สูงอายุในหมู่บ้านนี้ใช้เวลาว่างในการทำขนมทองม้วนขาย ซึ่งป้าที่สอนผมยังบอกอีกว่าแป้งที่ใช้ทำเป็นสูตรพิเศษเฉพาะของที่นี่ ถัดจากการทำขนมก็เป็นการทำ Seed bomb หรือการนำดินเหนียวมาห่อหุ้มเมล็ดพันธ์เพื่อที่จะได้นำหนังสติ๊กมายิงเมล็ดพันธ์ออกไป ผมสนุกกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้หนังสติ๊ก

    เพื่อน ๆ กำลังปั้น Seed bomb

    หลังจากเพลิดเพลินไปกับสองกิจกรรมแรกก็มาจบที่การเรียนรู้การทำถ่าน ซึ่งบอกได้คำเดียวว่า “หัวเหม็น” ควันโขมงโฉงเฉง คละคลุ้งไปทั่วบริเวณมาก แต่พี่ที่เป็นผู้นำฐานเขาก็เคลมว่าฐานของเขาใช้แล้วไม่ก่ออันตราย เพราะว่ามีการเผาไหม้ในอุณหภูมิที่สูง ต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ทำให้ตัวถ่านมีความบริสุทธิ์ไม่สะสมสารอย่างอื่นไว้ อีกทั้งยังการทำถ่านของที่นี่ยังมีการใช้ตัวกรองควันเพื่อจะกรองเอาน้ำส้มควันไม้อีกด้วย

    เตาอิวาเตะ เตาที่ใช้ทำถ่าน

    หลังจากขอบคุณพี่ ๆ วิทยากรที่หมู่บ้านถ้ำเสือ รถก็มุ่งหน้าไปยัง “ฤทธิมา ศรีชุมแสง ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท” ซึ่งเป็นสถานที่ทำกิจกรรมทั้งหมดที่เหลือ  กิจกรรมในช่วง

    นั่งจำชื่อเพื่อนให้ได้ทั้งหมด

    17 มีนาคม 2561 (วันที่สอง)

    วันนี้ทั้งวัน ตารางแน่นมาก ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ในช่วงเช้าตื่นนอนมา มีการออกกำลังกาย ทานอาหารเช้า หลังจากนั้นก็คือการนั่งอบรม การอบรมในวันนี้ไม่ใช่การนั่งฟังเท่านั้น ผู้เข้าร่วมประกวดทุกคนจะต้องทำกิจกรรมร่วมไปด้วย เช่น การแก้ปัญหาขนส่งสิ่งของไปยังพื้นที่ประสบภัย โดยไม่ให้อุปกรณ์ ถุงยังชีพเสียหาย หรือตกหล่นออกมา

    ขณะกำลังทำยานขนส่งอุปกรณ์และถุงยังชีพด้วยถ้วยพลาสติก หลอด และโพสต์อิส

    เมื่อทุกกลุ่มออกแบบยานของตัวเองเสร็จแล้วก็จะมีการแข่งขันกันเกิดขึ้น โจทย์มีความยากขึ้นไปเรื่อย ๆ จากตอนแรกให้ยานลงพื้นโดยไม่เทมาร์ชเมโร่ออกมา ตอนหลังก็จะเป็นการจับเวลา ใครลงช้าสุดชนะ กลุ่มผมมีการปรับปรุงตลอดเวลา ทดลองอยู่เรื่อย ๆ เปลี่ยนระดับความสูง เปลี่ยนระดับความเร็วลมของพัดลมที่มาปะทะตัวยาน จนรอบการแข่งขันสุดท้ายมาถึง ผลปรากฏกลุ่มผมชนะไปด้วยเวลาฉิวเฉียดมาก ต้องตัดสินโดยใช้ภาพ Slow mode จากกล้อง iPhone

    3.2.1……

    หลังจากนั้นเป็นการแก้ปัญหาต่อเป็นรอบที่สอง จากตอนแรกเป็นการขนส่งของโดยใช้อากาศยาน รอบนี้เป็นการสร้างเรือ กลุ่มไหนสามารถสร้างเรือที่บรรทุกสิ่งของได้มากที่สุดชนะ ปรากฏทีมผมตกรอบแรกเลยครับ เพราะตัวเรือไม่มั่นคงจากการวางดินน้ำมันที่ไม่เท่ากันในแต่ละด้าน

    ลุ้นตัวโก่ง

    หลังจากจบทักษะด้านแก้ปัญหาไปในช่วงเช้า ช่วงบ่ายเริ่มเข้าสู่ความจริง เมื่อวิทยากรให้โจทย์คิดผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทักษะทางด้าน STEM มาใช้สร้างผลิตภัณฑ์นั้น กลุ่มผมเลือกทำแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับคนแก่ ที่ให้บริการครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การรักษาพยาบาล คนดูแล โซเชียลเฉพาะผู้สูงอายุ รวมไปถึงแหล่งทำกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม

    ทำอะไรดี ?

    หลังจากนั่งหาข้อมูล ทำสไลด์ ทำตัวอย่างเว็บไซต์ ร่าง UI ของแอปใน PowerPoint ไปได้เพียงแป็ปเดียว พี่ ๆ ที่คุมสันทนาการก็มอบหมายโจทย์เพิ่ม ให้คิดการแสดงมาหนึ่งชุดโจทย์คือ บุบเพสันนิวาส อินโนเวชั่น

    ว๊อททท เอาบุพเพมาร่วมกับนวัตกรรม เวลาตอนนั้นเหลือเพียงชั่วโมงเศษก็จะถึงช่วงเวลาการแสดง ทั้งยังมีโปรเจคที่ได้ไปเมื่อตอนบ่ายค้างอยู่ที่ตัวอีก 80% ตอนนั้นมีความรู้สึกไฟร่นก้นเป็นอย่างมาก อีกอันก็อยากทำให้ดีที่สุด แต่อันนี้จะทิ้งเลยก็ไม่ได้ โชคดีที่ว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่ม 8 คน มีอย่างน้อย 3 คนที่ชมละครเรื่องนี้ เลยทำให้สามารถต่อบทกันได้อย่างรวดเร็ว

    ผมได้มีส่วนร่วมการแสดง โดยรับบทเป็นจ้อย ออกมาแค่ฉากเดียว นอกนั้นคุมภาพที่ปรากฏบนจอโปรเจคเตอร์

    แม่หญิงการะเกดกับบ่าวทั้งสอง

    การแสดงเสร็จสิ้นลงไป ก็เข้าสู่พิธีเทียน ผมแอบชอบพิธีเทียนของที่นี่นะ เพราะเขาให้ทุกคนพูด สิ่งที่อยากจะพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกในใจ การโดนร้องขอ/บังคับให้เข้าประกวด ทุกคนได้พูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจมาตลอด 2 วัน ทำให้ผู้เข้าร่วมประกวดทุกคนได้สนิทและได้รับรู้ความคิดของเพื่อนผ่านกิจกรรมนี้ครับ

    พิธีเทียน

    18 มีนาคม 2561 (วันสุดท้าย)

    ถามมว่าเมื่อคืนได้นอนไหม ตอบได้อย่างเต็มปากว่า 20 นาที เพราะนั่งปั่นโปรเจกสุดท้ายที่ต้องมานำเสนอในวันนี้ เรียกได้ว่าซึ้งกับพิธีเทียนเสร็จ เทียนนั้นก็ร้อนมารนก้นต่อ ทำให้ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน

    การนำเสนอผ่านพ้นไปด้วยดีครับ ได้รับคำชมจากคณะกรรมเยอะพอสมควร สาเหตุเป็นเพราะแผนธุรกิจ แผนนวัตกรรมชิ้นนี้ เป็นผลงานรวมกันของ 3 คน ซึ่งมาจากต่างคณะกัน เมื่อสามารถนำทักษะของเพื่อนแต่ละคนออกมาใช้ ผลงานก็เลยออกมาดี (นี่มันคือทีมเวิร์กชัด ๆ)

    Elder Care

    หลังจากนำเสนองานเสร็จสิ้น ก็เป็นรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และเก็บของกลับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านต่อไป

    เล็กแอนเดอะแก๊งค์

    ไฟนอลโปรเจกนพรัตน์ทองคำ (คะแนนเยอะสุด)

    การแข่งขันก้าวเข้ามาสู่ช่วงสุดท้าย โจทย์มันก็คือการนำ STEM มาสร้างนวัตกรรมอะไรบางอย่างที่อาจจะเคยมีมาแล้วแต่มาพัฒนาให้ดีขึ้น หรือไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เลย ผมจำได้ว่าผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี เสียเวลาไปหลายวันมาก จนกระทั้งผมจะต้องไปติดต่อขอใช้สถานที่ที่สถานีตำรวจบางใหญ่ ผมเดินผ่านร้านขายพวงหรีด ไอเดียผมก็เข้ามาในหัวทันทีว่า จะทำเป็นพวงหรีดดิจิทัลดีไหม เพราะพวงหรีดปัจจุบันที่เป็นดอกไม้ใช้แล้วก็ทิ้งไป พวงหรีดที่เป็นผ้าห่มใครจะกล้าเอามาห่มบ้าง สู่เป็นพวงหรีดดิจิทัล เขียนความรู้สึกได้ ออกแบบดอกไม้ได้ เปลี่ยนพื้นหลังก็ยังได้อีก งานศพไหนมีก็คงจะดูดีไม่เบา

    ผมก็เลยเอาไอเดียนี้ไปปรึกษาพ่อ พ่อบอกผมมาว่า “พวงหรีดมันไม่ได้มีแค่ดอกไม้กับผ้าห่มนะ นั่นมันเป็นรุ่นแรก ๆ เดี๋ยวนี้เขานิยมเอาพัดลมมาผูกโบว์เป็นพวงหรีดแล้ว พอจบงานก็เอาพัดลมนั้นบริจาคให้วัด ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป” หลังจากได้ฟังความเห็นจากพ่อ ไอเดียทั้งหมดผมก็เลยยุติทิ้งมันไป

    คิดใหม่ ทำใหม่ ปรึกษาอาจารย์ในคณะรวมทั้งรุ่นพี่ที่จบไปแล้วว่าควรทำอะไรดี อาจารย์ที่สอนผมในเทอมนั้นเลยช่วยตบให้เดียให้ กลายมาเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ปกติเวลาจะลงโฆษณาในหนังสือ โทรทัศน์ เราจำเป็นจะต้องติดต่อสถานที่เหล่านั้นโดยตรง หากแต่เราต้องการจะประหยัดเวลาเราก็จำเป็นจะต้องจ้างเอเจนซี่ให้เขาจัดการให้ซึ่งก็มีราคาที่สูง เครื่องมือนี้ผู้ลงโฆษณา/ลงข่าว สามารถเลือกปลายทางได้เลยว่าต้องการจะลงกับใคร ในเรทราคาเท่าไหร่ ซึ่งเราครอบคลุมทั้งสื่อเก่า สื่อใหม่ และสื่อบุคคล (Influence) จึงกลายมาเป็นผลงาน Linkpost : A new era of PR tool

    ลิงก์โพสต์

    วันนำเสนองานไฟนอลโปรเจก

    เป็นอีกวันที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะได้ข่าวมาว่าคณะกรรมที่จะมาให้คะแนนในรอบนี้เป็นระดับ รศ.ดร. , ดร. หลายท่าน รวม ๆ แล้วคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั่งอยู่หน้าผมทั้งหมด 5 ท่าน ประกอบกับพี่ปุ๊เลือกให้ผมนำเสนอเป็นลำดับแรกความตื่นเต้นที่มีอยู่แล้วก็ทวีคูณเพิ่มขึ้นไป

    แต่เนื่องด้วยที่ผมซ้อมนำเสนอและตอบคำถามกับอาจารย์ณัทธสิฐษิ์ สิริปัญญาธนกิจ อาจารย์ประจำคณะนิเทศที่เคยเป็นนพรัตน์ทองคำฝ่ายชายมาก่อนแล้ว ทำให้ผมยังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง สำคัญที่สุดอาจารย์ได้แนะนำให้ผมปริ้นสไลด์ส่งกรรมการด้วย เพราะอาจารย์คิดว่าจะมีผู้เข้าประกวดไม่กี่คนเท่านั้นที่จะปริ้นส่งคณะกรรมการ

    เอกสารประกอบการนำเสนอ
    เล็ก เธอนำเสนอเป็นลำดับที่หนึ่งนะ พี่ปุ๊กล่าว

    ระยะเวลาในการนำเสนอถูกกำหนดไว้ที่ 10 นาที ไม่รวมเวลาถามตอบของคณะกรรมการ เมื่อผมนำเสนอจบลง คำถามถาโถมเข้ามาเยอะอย่างมาก เช่น ใช้ทักษะ STEM ด้านใดมาคิดงานนี้บ้าง, อินโฟว์เควสก็มีอยู่แล้วของเธอมีดีอะไร, จงบอกมาว่าในช่วงแรกการตลาดของเธอจะเป็นอย่างไหร่ เมื่อบริษัทส่วนใหญ่เขาจ้างเอเจนซี่ที่มีความสามารถสูงอยู่แล้ว, งานนี้จะหาทีมงานได้อย่างไร, จงบอกมา 3 เหตุผลที่ทำให้ลิงก์โพสต์จะต้องปิดตัวลง ฯลฯ

    สติสำคัญมากครับสำหรับการนำเสนอวันนี้ เพราะถ้าเราฟังคำถามไม่ละเอียด อาจทำให้ตอบเราไม่ตรงกับคำถามได้

    เตรียมโดนเชือด

    วันประกาศผล

    ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จำได้ว่าก่อนออกจากหอตัวเอง ยังนั่งอารมณ์ดีดูข่าวทรัมป์กับคิมจับมือกันอยู่ ตอนเช้าของวันนี้ผมมีเรียนอยู่หนึ่งวิชาครับ หลังจากเรียนเสร็จผมชวนเพื่อน ๆ สนิทอีก 4 คนมาร่วมลุ้นไปกับผมด้วย งานเริ่มขึ้นช่วงแรกเป็นการแสดงของนักศึกษาผู้เข้าร่วมประกวด นั้นก็คือการร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยและการเต้นคุกกี้เสี่ยงทาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากลองเต้นมานานละ จนเวทีนี้ให้โอกาสผมได้ซ้อม ได้เต้นต่อหน้าท่านอธิการบดีและอาจารย์

    แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ

    และแล้วเวลาที่คอลอย เอ้ยยย ! รอคอยก็มาถึง พิธีกรเริ่มประกาศรางวัลต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่หลายรางวัลมากครับ จนมาถึงประกาศผลรางวัลสุดท้าย “นพรัตน์ทองคำฝ่ายชาย ประจำปี 2561 จะได้รับทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท ได้เงินรางวัล 10,000 บาท โล่ สายสะพาย และเหรียญพระสิทธิธาดาเป็นของรางวัล ได้แก่หมายเลข 36 นายดำรงศักดิ์ สัตบุตร จากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์”

    รับรางวัล

    ในตอนแรกผมมีความมั่นใจที่จะได้รางวัลนี้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งนะครับ เพราะว่าเพื่อน ๆ ในฝ่ายชายทุกคนเก่งและโหดมาก คิดภาพง่าย ๆ ทุกคนที่เกรดเฉลี่ยเกิน 3.00 เป็นเด็กกิจกรรม ไม่ตกวิชาภาษาอังกฤษ ไม่มีความประพฤติเสีย จากทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมาเข้าร่วมประกวด เพราะฉะนั้นผลงานทุกคนที่ออกมาล้วนอลังการงานสร้างทั้งหมด

    เคล็ดลับของความสำเร็จก็คงหนีไม่พ้นความตั้งใจครับ ตั้งใจทำในทุกกิจกรรม ใส่ใจในทุกรายละเอียด ถึงแม้เราจะไม่ได้รางวัลแต่ก็ถือว่าเราได้ทำเต็มที่สุดความสามารถของเราแล้ว อย่างน้อยที่สุดเราก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลังว่าทำไมไม่ทำอันนี้

    เพื่อน ๆ ที่คอยมาให้กำลังใจ
    รางวัลทั้งหมดที่ได้รับ 1.) นพรัตน์ทองคำฝ่ายชาย 2.) ทักษะการนำเสนอดีเด่น และ 3.) ชมเชยนวัตกรรมสร้างสรรค์
    เพื่อน ๆ ผู้เข้าร่วมประกวดในปีนี้

    ภาพ : สายงานกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (2561)